วันพุธที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

กิจกรรมที่ 1 คลังความรู้ คลังข้อสอบ


ระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในระบบคัดเลือกรวม (Central University Admissions System: CUAS)


การคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาระบบใหม่

ปีการศึกษา 2543 - 2548
      ทบวงมหาวิทยาลัยได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาปรับปรุงระบบการสอบคัดเลือกฯ (เอกสารหมายเลข1) ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนกรมวิชาการ ผู้แทนกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ผู้แทนคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ และผู้ทรงคุณวุฒิจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ร่วมเป็นอนุกรรมการได้เสนอรูปแบบการคัดเลือกฯ ระบบใหม่ต่อทบวงมหาวิทยาลัย และให้ใช้ตั้งแต่ปีการศึกษา 2542 เป็นต้นไป
วัตถุประสงค์ของการปรับปรุงระบบการคัดเลือก มี 2 ประการ คือ
      1. เพื่อให้มหาวิทยาลัย/สถาบันได้ผู้เรียนที่มีความรู้ความสามารถและความถนัดตรงกับสาขาวิชาที่เรียน
      2. เพื่อส่งเสริมให้การเรียนการการสอนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายเป็นไปตามปรัชญาและวัตถุประสงค์ของหลักสูตร

โดยพิจารณาผู้สมัครจากองค์ประกอบต่อไปนี้
      1. ผลการเรียนตลอดหลักสูตรระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่าให้ค่าน้ำหนัก 10%
      2. ผลการสอบวิชาหลักและวิชาเฉพาะ (หรือเรียกรวมว่า การสอบวัดความรู้) ให้ค่าน้ำหนัก 90 %

      การดำเนินการสอบวิชาเฉพาะและวิชาหลัก จัดปีละ 2 ครั้ง แล้วนำคะแนนครั้งที่มากมาคิดคำนวณจัดประมวลผลในการเรียงลำดับที่ของผู้สมัครแต่ละคน
จุดเด่นของการคัดเลือกระบบใหม่
      1. นำผลการเรียนของชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายมาร่วมด้วย
      2. มีการสอบปีละ 2 ครั้ง ทำให้นักเรียนมีโอกาสพัฒนาตนเอง คะแนนสอบเก็บไว้ใช้ 2 ปี สามารถเลือกคะแนนที่ดีที่สุดมาใช้ในการสมัครคัดเลือก
      3. ทราบผลคะแนนสอบล่วงหน้าก่อนการเลือกคณะ ทำให้มีโอกาสเลือกได้ตรงกับความสามารถของตน 

จุดอ่อนของการคัดเลือกระบบใหม่
      1. ทำให้นักเรียนมีภาระการสอบและเกิดความเครียดมากขึ้นจากเดิม เนื่องจากมีการสอบสองครั้ง
      2. โรงเรียนพยายามเร่งสอบให้จบก่อนการสอบเดือนตุลาคม เพื่อให้นักเรียนมีความพร้อมด้านเนื้อหามากที่สุด เป็นเหตุให้เกิดผลเสียต่อระบบการเรียนการสอนตามปกติ



การคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาระบบกลาง (Admissions) ระยะที่ 1

ปีการศึกษา 2549 - 2552
      - ตามหนังสือที่ ทปอ.44/147 ลงวันที่ 19 เมษายน 2544 ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย ได้เสนอให้ทบวงมหาวิทยาลัยพิจารณาปรับปรุงระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยในระบบสอบรวม โดยขอให้เริ่มตั้งแต่รุ่นปีการศึกษา 2547 เป็นต้นไป โดยยึดหลักการให้เพิ่มผลการเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายเป็นส่วนหนึ่งของการคัดเลือกมาขึ้น และพิจารณาความสามารถของผู้สมัครจากผลการสอบจากแบบทดสอบวิชาหลักและ/หรือแบบทดสอบมาตรฐานความสามารถทางการเรียน ซึ่งจัดสอบจากสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติที่จะจัดตั้งขึ้น
      - สำหรับผลการเรียน (GPA) ต้องได้รับการตรวจสอบจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ หรือต้นสังกัดต่างๆ เพื่อป้องกันการคิดเกรดผิดพลาด
      - ทั้งนี้ มหาวิทยาลัย/สถาบันอาจกำหนดคุณสมบัติอื่นๆ หรืออาจกำหนดให้มีการสอบวิชาเฉพาะ ซึ่งแต่ละมหาวิทยาลัยหรือกลุ่มมหาวิทยาลัย หรือสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติเป็นฝ่ายจัดสอบ หรือกลไกการสอบรวม (ทบวงมหาวิทยาลัยเป็นผู้ประสานงานและมหาวิทยาลัย/สถาบันเป็นศูนย์สอบ) เพื่อปรับปรุงให้สอดคล้องกับการปฏิรูปการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
      - ในการพิจารณาของที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ได้ยึดหลักการแนวทางเพื่อกำหนดเป็นระบบกลางการรับบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาไทย มีสาระดังนี้
      1. ระบบใหม่จะต้องปรับเปลี่ยนจากระบบสอบแข่งขันเพื่อคัดเลือกเข้าศึกษาในสถาบัน อุดมศึกษา (Entrance Examination) เป็นระบบการรับเข้า (Admissions) โดยพิจารณาจากผลการเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และต้องเป็นระบบที่มีความยุติธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้
      2. การพิจารณาผลการเรียนเพื่อประโยชน์ในการรับเข้าศึกษาในระบบอุดมศึกษาจะพิจารณา จากการวัดผลด้วยวิธีการและตามช่วงวลาต่าง ๆที่กำหนดในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 ตามกระบวนการปฏิรูปการศึกษา
      3. หลีกเลี่ยงการสอบเพิ่มเติม หรือแม้หากมีการสอบเพิ่มเติมกำหนดให้ไม่เกิน 3 วิชา 

      - การปรับปรุงระบบการคัดเลือกได้ดำเนินการมาโดยลำดับ และได้บรรลุข้อยุติเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2548 (รายละเอียดตามเอกสารหมายเลข 2) ซึ่งที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย ได้ประกาศระบบการคัดเลือกสำหรับการรับบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาเริ่มตั้งแต่ปีการศึกษา 2549 โดยกำหนดองค์ประกอบ ดังนี้ GPAX 10%, GPA (กลุ่มสาระ) 20%, O-NET 35-70%, A-NET และ/วิชาเฉพาะไม่เกิน 3 วิชา 0-35%
      (เหตุผลที่ต้องปรับระบบการคัดเลือกในปีการศึกษา 2549 เนื่องจากเป็นปีที่นักเรียนเรียนจบตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 เป็นรุ่นแรกและเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ปีการศึกษา 2549)




การคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาระบบกลาง (Admissions) ระยะที่ 2

ปีการศึกษา 2553 - 2560
      การคัดเลือกด้วยระบบ Admissions ซึ่งเริ่มเมื่อปีการศึกษา 2549 ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ว่ามีการให้สัดส่วนผลการเรียนมากเกินไป ซึ่งความจริงการสอบคัดเลือก Entrance ก็ดี การคัดเลือกด้วยระบบ Admissions ก็ดี ล้วนถูกวิพากษ์วิจารณ์จากผู้เกี่ยวข้องทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย การรับเข้าศึกษาด้วยระบบ Admissions มีเป้าหมายว่า ถ้าดำเนินการได้เต็มรูปแบบจะต้องถึงจุดที่มหาวิทยาลัยเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณารับเข้าและประกาศเกณฑ์ดังกล่าวให้ทราบทั่วกัน นักเรียนหรือผู้ประสงค์จะสมัครเข้าศึกษาต่อ ณ สถาบันอุดมศึกษาแห่งใด จะต้องนำคะแนนผลการสอบที่สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติจัดสอบเพื่อให้มีมาตรฐานเดียวกันและต้องไม่เพิ่มภาระแก่นักเรียน โดยนักเรียนจะนำคะแนนไปยื่นสมัคร ณ หน่วยคัดเลือกลางที่มีกลไกดำเนินงานที่เป็นมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในความยุติธรรมโปร่งใสและมีธรรมาภิบาลเป็นผู้ทำหน้าที่คัดเลือกให้
      การปรับระบบการสอบคัดเลือกปีการศึกษา 2553 ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทยได้มอบให้ กลุ่มเสวนา Admissions และ Assessment ดำเนินการ โดยมีหลักการตามที่ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทยเห็นชอบคือ ให้พิจารณานำผลการเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายและการสอบ Aptitude Test เป็นองค์ประกอบของการคัดเลือก ผลการเรียนประกอบด้วย GPAX และผลการสอบ O-NET ส่วนการสอบ Aptitude Test จะแทนที่การสอบ A-NET และ/วิชาเฉพาะ เนื่องจากหลักการของ Aptitude Test เป็นการทดสอบความถนัดทางการเรียนซึ่งไม่เน้นเนื้อหาวิชา จึงสามารถจัดสอบได้หลายครั้งในแต่ละปี
องค์ประกอบการคัดเลือกฯ ปีการศึกษา 2553 ที่ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทยให้ความเห็นชอบมีดังนี้
      1. GPAX 20%
      2. O-NET (8 กลุ่มสาระ) 30%
      3. GAT (General Aptitude Test) 10-50%
      4. PAT (Professional Aptitude Test) 0-40%



การคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาใหม่ (Thai university Central Admission System : TCAS)
ปีการศึกษา 2561 เป็นต้นไป
      - รมว.ศธ. ได้มอบหมายให้ ทปอ. พิจารณาปรับรูปแบบการรับเข้าศึกษา โดยมีหลักการที่สำคัญ คือ ให้นักเรียนอยู่ในห้องเรียนจนจบหลักสูตร ให้จัดการสอบเพื่อการคัดเลือกได้หลังจากนักเรียนเรียนจบหลักสูตรโดยใช้ข้อสอบของส่วนกลาง และให้มีการบริหารสิทธิ์ในการสมัครเข้ามหาวิทยาลัย
      - ทปอ. ได้รับหลักการ โดยเสนอแนวทางการรับนักเรียนเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาแบบใหม่ โดยสถาบันอุดมศึกษาในเครือข่าย ทปอ. จำนวน 30 แห่ง ร่วมกันพิจารณากระบวนการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา เพื่อต้องการให้เกิดความเท่าเทียมกัน ซึ่งจะเริ่มใช้ตั้งแต่ปีการศึกษา 2561 เป็นต้นไป ด้วยหลักการ 3 ประการ
      - ทปอ. ราชภัฏ และ ทปอ. ราชมงคล ได้รับหลักการในการเข้าร่วมดำเนินการตามแนวทางนี้ด้วย
หลักการสำคัญของ TCAS มี 3 ประการ ดังนี้
      1. นักเรียนควรอยู่ในห้องเรียนจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
      2. ผู้สมัครแต่ละคนมีเพียง 1 สิทธิ์ ในการตอบรับในสาขาวิชาที่เลือก เพื่อความเสมอภาค
      3. สถาบันอุดมศึกษาทุกแห่ง สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จะเข้าระบบ Clearing House เพื่อบริหาร 1 สิทธิ์ของผู้สมัคร


Credit : http://tcas.cupt.net/about.php






ข่าวสารเกี่ยวกับระบบคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาสถาบันอุดมศึกษา TCAS ปีการศึกษา 2561



TCAS from chayanit kaewjankamol








ปฏิทินระบบคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาสถาบันอุดมศึกษา TCAS ปีการศึกษา 2561






การสอบทั่วไป


สำหรับบรรดาการสอบของข้อสอบกลางทั้งหมดจะเลื่อนไปสอบหลังน้องๆ จบชั้น ม.6 ทั้งหมด                                          โดยจัดสอบในเดือนมีนาคม – เมษายน 2561 ทั้งหมด 6 สัปดาห์ โดยมีกำหนดการดังนี้ :

สัปดาห์ที่วันสอบรายการสอบจัดสอบโดย
124 – 27 กุมภาพันธ์ 2561GAT / PAT ปีการศึกษา 2561สทศ
23 – 4 มีนาคม 2561O-NET ม.6 ปีการศึกษา 2560สทศ
417 – 18 มีนาคม 25619 วิชาสามัญ ปีการศึกษา 2561สทศ
3, 5, 6, 724 กุมภาพันธ์ – 12 เมษายน 2561กสพท. และ วิชาเฉพาะของแต่ละมหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยต่างๆ หรือองค์กรที่จัดสอบ
และพิเศษ! ทาง ทปอ. (ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย) ได้มีการเพิ่ม ภาษาเกาหลี เป็นภาษาเพิ่มเติมในการสอ PAT7 ความถนัดทางภาษาต่างประเทศอีกด้วย โดยจะจัดสอบครั้งแรกในการสอบ GAT-PAT ปีการศึกษา 2561


รายละเอียดการคัดเลือกทั้ง 5 รอบของ TCAS!


แบ่งเป็น 5 รอบด้วยกัน คือ
  • รอบที่ 1 : การรับด้วยแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) โดยไม่มีการสอบข้อเขียน
    • ช่วงวันเปิดรับสมัคร และวันคัดเลือก : 
      • ครั้งที่ 1 : 1 ตุลาคม 2560 – 30 พฤศจิกายน 2560
        • ประกาศผล : 22 ธันวาคม 2560
      • ครั้งที่ 2 : 22 ธันวาคม 2560 – 28 กุมภาพันธ์ 2561
        • ประกาศผล : 26 มีนาคม 2561
    • สำหรับ : น้องๆ นักเรียนทั่วไป, นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ, นักเรียนโควตา, นักเรียนเครือข่าย
    • ยื่นสมัครและคัดเลือกโดย : มหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง
  • รอบที่ 2 : การรับแบบโควตาที่มีการสอบปฏิบัติและข้อเขียน
    • ช่วงวันเปิดรับสมัคร และวันคัดเลือก : ธันวาคม 2560 – มีนาคม 2561
      • ประกาศผล : 8 พฤษภาคม 2561
    • สำหรับ : น้องๆ นักเรียนที่อยู่ในเขตพื้นที่หรือภาค, นักเรียนในโรงเรียนเครือข่าย, นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ
    • ยื่นสมัครและคัดเลือกโดย : มหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง
  • รอบที่ 3 : การรับตรงร่วมกัน
    • ช่วงวันเปิดรับสมัคร และวันคัดเลือก : 9 – 13 พฤษภาคม 2561
      • ประกาศผล : 8 มิถุนายน 2561
    • สำหรับ : น้องๆ นักเรียนที่อยู่ในโครงการ กสพท. (กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย), โครงการอื่นๆ ตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด
    • การเลือกสอบ : สามารถสมัครสอบและเลือกได้ 4 สาขาวิชา โดยไม่มีลำดับ หมายความว่า 4 สาขาวิชา หรือ 4 มหาวิทยาลัยที่สมัครไปนั้นน้องๆ มีโอกาสผ่านการคัดเลือกทั้งหมด.. (แล้วค่อยเลือกมหาวิทยาลัยที่ต้องการศึกษาต่อในเคลียริ่งเฮาส์ของรอบที่ 3 อีกครั้ง) โดยที่จะมีการจัดสอบร่วมกันในเวลาเดียวกัน ส่วนเกณฑ์การคัดเลือกแต่ละมหาวิทยาลัยเป็นผู้กำหนด
    • ยื่นสมัครผ่าน : ทปอ. (ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย) หลังจากนั้นจะส่งข้อมูลผู้สมัครไปให้มหาวิทยาลัยเป็นผู้ประมวลคัดเลือก
  • รอบที่ 4 : การรับแบบ Admission
    • ช่วงวันเปิดรับสมัคร และวันคัดเลือก : 6 – 10 มิถุนายน 2561
      • ประกาศผล : 13 กรฎาคม 2561
    • สำหรับ : น้องๆ นักเรียนทั่วไป
    • การเลือกสอบ : สามารถสมัครสอบและเลือกได้ 4 สาขาวิชา โดยมีลำดับ (เหมือนแอดมิชชั่นในปีที่ผ่านมา) แต่ใช้เกณฑ์ค่าน้ำหนักที่ประกาศล่วงหน้า 3 ปี
    • ยื่นสมัครผ่าน : ทปอ. (ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย)
  • รอบที่ 5 : การรับตรงแบบอิสระ (รอบเก็บตก)
    • ช่วงวันเปิดรับสมัคร และวันคัดเลือก : ภายในเดือนกรกฎาคม 2561
    • สำหรับ : น้องๆ นักเรียนทั่วไป
    • การเลือกสอบ : สามารถสมัครสอบได้ตามความต้องการ โดยที่แต่ละมหาวิทยาลัยจะรับตรงด้วยวิธีการของมหาวิทยาลัยเอง
    • ยื่นสมัครและคัดเลือกโดย : มหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง


ทุกรอบมี “เคลียริ่งเฮาส์” (Clearing House)

เนื่องจากปัญหาในหลายๆ ปีที่ผ่านมาที่มีปัญหาวิ่งสอบ แล้วกั๊กที่นั่งเรียนทำให้คนอื่นเสียสิทธิ์ไป ในระบบการคัดเลือกใหม่
ดังนั้นในระบบการคัดเลือกใหม่ ทาง ทปอ. จึงขอความร่วมมือให้ทุกมหาวิทยาลัยต้องเข้าร่วมเคลียริ่งเฮาส์ในทุกรอบ เพื่อให้น้องๆ กดยืนยันสิทธิ์การศึกษาในมหาวิทยาลัยนั้นๆ หลังสอบรอบนั้นๆ เสร็จ และเมื่อกดยืนยันในรอบนั้นๆ แล้วจะไม่สามารถสมัครสอบใหม่ในรอบอื่นๆ ได้อีกนั่นเอง
รอบที่ประเภทการรับวันที่ต้องยืนยันสิทธิ์เคลียริ่งเฮาส์
รอบที่ 1ยื่นด้วยแฟ้มสะสมผลงานครั้งที่ 1 : 15-19 ธันวาคม 2560
ครั้งที่ 2 : 19-22 มีนาคม 2561
รอบที่ 2รับแบบโควต้า3-6 พฤษภาคม 2561
รอบที่ 3การรับตรงร่วมกัน26-28 พฤษภาคม 2561
รอบที่ 4รับแบบแอดมิชชั่นไม่มีเคลียริ่งเฮาส์
รอบที่ 5การรับตรงอิสระไม่มีเคลียริ่งเฮาส์


ถ้าจบจากต่างประเทศ ?

สำหรับน้องๆ ที่จบหลักสูตรจากโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย หรือ จบการศึกษาจากต่างประเทศ ทางกระทรวงศึกษาธิการประกาศแล้วว่าไม่ต้องเทียบวุฒิการศึกษา สามารถสมัครเรียนต่อตามเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยกำหนดได้
สำหรับน้องๆ หลักสูตรนานาชาติหรือจบจากต่างประเทศ สามารถสมัครสอบเข้าได้ 3 รูปแบบ คือ
  • ในรอบที่ 1  แบบที่ไม่มีการสอบเพิ่มเติม : อาจเป็นการยื่นคะแนนทางวิชาการ IELTS, TOEFL, SAT เป็นต้น และมีมีคุณสมบัติตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด
  • หรือ สามารถสมัครในรอบที่ 3 หรือรอบที่ 5 ได้ โดยต้องมีการสอบเพิ่มเติม หรือมีคุณสมบัติตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด
  • หรือ สามารถสมัครในรอบที่ 4 ได้ แต่ต้องมีคะแนนและใช้องค์ประกอบคะแนนตามที่กำหนด






สรุป วิธีคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ระบบใหม่ TCAS (ไม่ใช่ Entrance 4.0)






ระบบ TCAS คืออะไร ? พร้อมเทคนิคเตรียมตัวและวิธีรับมือ จากพี่โหน่ง พี่แท็ป OnDemand







5 นาทีกับ TCAS (ระบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแบบใหม่ เริ่มใช้แล้ว!)






10 อันดับอาชีพ ที่เรียนแล้วไม่ตกงาน 

by A-NA CHANNEL






ค้นหาพรสวรรค์ของตัวเองไม่เจอ ไม่รู้จะทำธุรกิจอะไรดี








คลังข้อสอบ
(สามารถคลิ๊กในเว็บแล้วเริ่มทำได้เลยหรือจะปริ้นออกมาทำก็ได้)

9 วิชาสามัญ 


GET-PET


O-net 













คลังความรู้ทั่วไป




32 ข้อคิด สำหรับ นักเรียน นักศึกษา


1. ไม่ ได้เรียนมหาวิทยาลัยรัฐไม่ใช่ความล้มเหลว ความล้มเหลวคือความคิดที่ว่าตนเองไม่สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตหากไม่ได้ เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย
2. โลกนี้ไม่มีงานสกปรก งานสกปรกคืองานของคนใจสกปรกเท่านั้น โลกนี้ไม่มีงานต่ำต้อย งานต่ำต้อยคืองานของคนที่คิดว่าตนเองไม่มีค่าเท่านั้น
 3.การ ศึกษาไม่ใช่โรงเรียน ไม่ใช่ตำรา ไม่ใช่มหาวิทยาลัย ไม่ใช่ประกาศนียบัตร ไม่ใช่ปริญญาบัตร หากคือความสามารถที่ยกระดับของปัญญา และปัญญานั้นไม่ใช่เป็นเพียงความคิดเท่านั้น หากคือความเมตตาด้วย ดังนั้นการศึกษาจึงไม่ใช่การพัฒนาสมองส่วนเดียว หากเป็นการยกระดับจิตใจและวิถีชีวิตด้วย 
4.การใช้ชีวิตก็เหมือนการชักว่าวกลางสายลมแรง คุณไม่มีเวลามาเปิดตำราว่าต้องทำอย่างไร
5.หาก มีคนเคยพิชิตยอดเขาสูงมาแล้วสักครั้งหนึ่ง หากมีคนเคยร่ำรวยมาแล้วสักครั้งหนึ่ง หากมีคนเคยสร้างสรรค์งานชั้นเยี่ยมมาแล้วสักครั้งหนึ่ง หากมีคนเคยใช้กำลังใจฝ่าอุปสรรคใหญ่หลวงมาแล้วสักครั้งหนึ่ง หากมีคนเคยทำสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้มาแล้วสักครั้งหนึ่ง ย่อมพิสูจน์ว่าเราก็ทำได้เช่นกัน
6.ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่จากโชคไม่น่าภูมิใจเท่าความสำเร็จเล็กน้อยด้วยมือของเราเอง
7.สรรพ ชีวิตล้วนมีหน้าที่ของมัน เมฆให้ฝน ต้นไม้ให้อากาศเราหายใจ แมลงผสมเกสร ฯลฯ ทำงานของท่านให้ดีที่สุด ฟันเฟืองตัวเล็กที่สุดก็มีส่วนในการขับเคลื่อนโลก
8.มดหนึ่งตัวขนของที่หนักกว่ามันหลายสิบเท่า น่าขันที่เราซึ่งอวดตัวว่าฉลาดกว่ามันกลับทำงานได้น้อยกว่ามัน
9.อย่า อ้างว่าเวลาน้อยทำงานอะไรไม่ได้ เวลาหนึ่งนาทีของผึ้งสามารถดูดน้ำหวานจากดอกไม้กลับบ้าน หนึ่งนาทีของมดสามารถขนเมล็ดข้าวที่หนักกว่าตัวมันไปไกลโข หนึ่งนาทีของปลวกสามารถสร้างรังของมันให้สูงขึ้น
10.ใบไม้เก่าร่วงหล่นจากต้นลงสู่โคนเพื่อเป็นปุ๋ยให้ตัวมันเอง ประสบการณ์ที่เลวร้ายในชีวิตเป็นอาหารวิเศษให้เราเจริญเติบโตขึ้น 
11.เคยเห็นผึ้งฆ่าตัวตายไหม 
12.เคยได้ยินมดบ่นไหม
13.เคยได้ยินแมงมุมนินทาชาวบ้านไหม
14. หรือว่าพวกมันรู้ว่ามีเวลาเหลือบนโลกนี้เพียงเล็กน้อย จึงไม่ยอมเสียเวลาทำเรื่องที่ไร้ความหมาย
15.บาง ครั้งเราต้องกล้าเผชิญชีวิตในโลกอย่างหนอนที่ไชผลแอ๊ปเปิ้ลจากจุดหนึ่ง โดยไม่รู้ว่าจะไปโผล่ที่ตรงไหน นั่นทำให้การเดินทางนั้นพิเศษ
16.คลื่น ลูกใหม่ทุกลูกล้วนต่อยอดมาจากซากของคลื่นลูกเก่า ประวัติศาสตร์มีไว้ศึกษาประสบการณ์ของคนอื่น จงเรียนรู้จากบทเรียนชีวิตของคนอื่น ใช้ประโยชน์จากมันเฉกเช่นว่ามันเป็นของเรา
17. ความ รักธรรมชาติมิได้หมายถึงการเดินทางไกลไปชมสวนใหญ่โต มิใช่การเกลือกกลิ้งบนผืนทรายขาวริมทะเล หรือการเดินทางขึ้นยอดภูเพื่อชมโลก ความรักธรรมชาติอาจเป็นเพียงการดูเศษใบไม้ที่ร่วงหล่นตามทาง การดูซากร่วงโรยของสรรพสิ่ง และสามารถพิศวงถึงความงามของความจริง
18. ผ่านสี่ห้าปีในมหาวิทยาลัยโดยไม่ทำกิจกรรมเพื่อสังคม ก็เหมือนการเรียนทฤษฎีที่ไม่เคยมีภาคปฏิบัติ
19. สังคมของเราตอนนี้เต็มไปด้วยคนที่เป็นทุกข์ สังเกตจากคนที่ต้องพูดโทรศัพท์ในโรงหนังโดยไม่สามารถมีความสุขง่าย ๆ สักชั่วยามเดียว
20. หากไม่มีกลางคืน หิ่งห้อยคงไม่สามารถเปล่งแสงแสนสวยออกมาให้เราชม หากไม่มีอุปสรรค เราก็คงไม่มีวันใช้ขีดความสามารถของเราถึงที่สุด
21. ทุก ๆ นาทีมีตัวตนของมันเพียงแวบเดียวและไม่หวนกลับมาอีก น่าเสียดายหากต้องเสียมันไปกับการบ่น การก่นด่าโชคชะตา การคร่ำครวญ การนินทา
22. อกหักก็เหมือนเป็นหวัด ติดง่ายหายง่าย ยังไม่เห็นมีใครตายเพราะโรคนี้สักคน
23. ภาพถ่ายที่รีบร้อนล้างมักมืดไป ข้าวที่รีบร้อนหุงมักสุกไม่ทั่ว อาหารที่รีบร้อนปรุงมักไม่อร่อย ทำไมต้องรีบร้อนหาแฟน?
24. การรีบร้อนหาแฟนก็เหมือนการเดินทางไกลโดยไม่ตรวจสภาพรถก่อน
25. หนังสือก็เหมือนวิตามิน กินชนิดเดียวตลอดเวลาไม่ได้ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น
26. คบเพื่อนไม่ดีก็เหมือนพบหนังสือที่ทุกหน้าว่างเปล่าและยังอ่านต่อไป
27. น่าตลกไหมที่บางคนมือหนึ่งถือปริญญาบัตรแนบแน่น อีกมือหนึ่งทิ้งขยะตามที่สาธารณะ ‘ ปริญญาบัตรไม่มีความหมายอะไรเลย หากเรายังไม่สามารถปลดปล่อยตนเองจากความคิดที่ว่าปริญญาบัตรยังคือทุกสิ่ง ‘ จงใช้เพื่อนเป็นที่ปรึกษา ไม่ใช่ให้นำทาง ‘ ความสนุกของการเรียนรู้คือการลุ้นค้นพบความรู้ใหม่ ๆ ที่เรายังไม่ได้เรียนรู้
28. ระบบ ที่เลิกยากที่สุดในสังคมคือระบบทาส ไม่ว่ามองไปในทิศทางไหน ก็เห็นแต่ทาสวัตถุ ทาสเงินตรา ทาสมือถือ ทาสรถยนต์ ทาสยี่ห้อสินค้า ทาสชื่อเสียง น่าขันที่บางคนเห็นโซ่ตรวนเป็นเครื่องประดับ
29. โลก คือแม่ของเรา แม่ผู้เจ็บปวดทุกครั้งที่เราตอบแทนแม่ด้วยการทิ้งขยะ รมแม่ด้วยควันบุหรี่และควันพิษ สาดกายแม่ด้วยสารเคมี ทำลายปอดของแม่ด้วยการลิดรอนต้นไม้ ........... แม่ร้องไห้ด้วยน้ำท่วม หยาดน้ำตาคือฝนที่ตกลงมาผิดเวลา สะอื้นแรงจนแผ่นดินแตกระแหง ........... แต่เพราะแม่ให้อภัยเราเสมอ อาจยังไม่สายเกินไปที่จะทดแทนคุณแม่อีกครั้ง
30. จงผัดวันประกันพรุ่งต่ออบายมุขทุกชนิด
31. คำ ว่า แม่ ในความรู้สึกของผมเป็นมากกว่าความรัก เป็นการเรียนรู้ชีวิตอย่างหนึ่ง บางสิ่งฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกผมมาตลอด บางสิ่งที่ขาดหายไป นั่นคือผมไม่เคยบอกว่ารักแม่เลยในชีวิต ไม่เคยกอดแม่ เมื่อแม่จากไปอย่างถาวร ผมเกิดความรู้สึกว่าได้สูญเสียโอกาสที่งดงามที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตไปตลอดกาลผมไม่ใช่คน เดียวที่ประสพกับธรรมเนียมของครอบครัวจีนแบบเก่าที่เห็นว่า การบอกรักคนที่เรารักเป็นเรื่องแปลก เพื่อนชาวไต้หวันคนหนึ่งเคยเล่าว่า เมื่อเธอกลับจากการเรียนต่อที่อเมริกากลับบ้าน แม่ไปรับที่สนามบิน เธอโผเข้ากอดแม่ทั้งที่ตลอดชีวิตไม่เคยทำอย่างนั้น แม่ของเธอมีสีหน้าตกใจอย่างใหญ่หลวง! ผมเรียนรู้ออกจะช้าไปหน่อยว่า เมื่อรักใครก็ควรแสดงออกมาให้เขารู้ แต่ไม่ช้าเกินไปที่จะบอกคนอื่น ๆ ว่า ไปเยี่ยมแม่ของคุณวันนี้ บอกรักแม่ของคุณเสียก่อนที่แม่ของคุณจะไม่ได้ยินคำบอกรักนั้น หากเป็นเช่นนั้นคงน่าเสียดายมากไม่ใช่หรือ
32. ไม่จำเป็นต้องเป็นไก่เท่านั้นถึงจะมีอารมณ์ขัน
อ้างอิง : http://www.unigang.com/Article/2189



อิทธิบาท 4" เป็นแนวทางการเรียน การทำงาน ให้ประสบความสำเร็จ

          อิทธิบาท 4" เป็นแนวทางการเรียน การทำงาน ให้ประสบความสำเร็จที่พระพุทธองค์ได้ทรงสดับไว้อย่างแยบคลาย อันประกอบด้วยแนวปฏิบัติ 4 ข้อ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ซึ่งใครๆก็ท่องได้ จำได้ แต่จะมีสักกี่คนที่ปฏิบัติได้ครบกระบวนความทั้ง 4 ข้อ อันเป็น 4 ขั้นตอนที่ต่อเนื่องหนุนเสริมกัน จะขาดข้อใดข้อหนึ่งไม่ได้ ด้วยว่ามันเป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงกันทั้ง 4 ข้อ จึงจะทำให้เราประสบผลสำเร็จในชีวิตและการงานได้ตามความมุ่งหวัง ขออธิบายดังต่อไปนี้


1) ฉันทะ คือ การมีใจรักในสิ่งที่ทำ ใจที่รักอันเกิดจากความศรัทธาและเชื่อมั่นต่อสิ่งที่ทำ จึงจะเกิดผลจริงตามควร เราคงเคยได้ยินคำว่า "ขอฉันทามติจากประชุม" บ่อยๆ หรือ "มีฉันทะร่วมกัน" ก่อนเลิกการประชุมบางอันเป็นเสมือนสัญญาระหว่างกันว่าเราจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ร่วมกันหรือละเว้นบางสิ่งร่วมกัน ซึ่งความเข้าใจในข้อนี้คิดว่าถูกเพียงครึ่งเดียว เพราะความหมายของ "ฉันทะ" นั้น ไม่ใช่แปลว่าเป็นสัญญาภาษากระดาษหรือสัญญาที่ให้ไว้กับมวลหมู่สมาชิกเท่านั้น หากแต่เป็นสัญญาใจและเป็นใจที่ผูกพัน เป็นใจที่ศรัทธาและเชื่อมั่นต่อสิ่งนั้นอยู่เต็มเปี่ยม จึงจะเกิดความเพียรตามมา เปรียบได้กับนักวิจัยที่ศรัทธาและเชื่อมั่นในแนวคิดแนวปฏิบัติของงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นซึ่งอาจมีมากน้อยต่างกัน คงไม่มีใครบอกได้นอกจากตัวนักวิจัยเองและผลของงานที่เกิดขึ้นจริงเป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณะชน
                     หลายคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า  Where there is the will, there is the way.  ที่ใดมีความปรารถนาอันแรงกล้า ที่นั่นย่อมมีหนทางเสมอ    ขอเพียงแต่ให้มีความตั้งใจแน่วแน่  ที่จะประสบความสำเร็จในเรื่องนั้นๆให้ได้   ด้วยความมุ่งมั่น ไม่ท้อถอย  ย่อมมีหนทางนำเราไปสู่ความสำเร็จได้เสมอ
การมีใจรัก ถือว่าสำคัญมาก ไม่ใช่ทำใจให้รักเพื่ออะไรสักอย่าง หรือ ห้ามใจไม่ให้รัก มันก็ยากยิ่งพอๆกัน เพราะรักดังกล่าวไม่ได้เกิดจากความรักความศรัทธาของเราจริงๆ ขืนทำไปก็มีแต่จะทุกข์ทรมานแม้จะได้บางสิ่งที่มุ่งหวังแล้วก็ตาม ประการสำคัญเป็นการแอบแฝงมาจากความคิดอื่นศรัทธาอื่นหรือความเป็นอื่นที่เราพยายามหาเหตุและผลมาอธิบายว่า มันคือสิ่งเดียวกันเพื่อให้สามารถดำเนินไปได้หรือเพื่อให้ตัวเองสบายใจที่สุด แต่ถ้าเรามีใจศรัทธาอันแรงกล้าแล้ว พลังสร้างสรรค์ก็จะบังเกิดขึ้นกับเราอย่างมหัศจรรย์ทีเดียว

                          ทีนี้มาพูดถึงว่า "เราจะสร้างฉันทะให้เกิดขึ้นได้อย่างไร" พระพุทธองค์เคยสอนไว้ว่า มนุษย์เราต้องเลือกที่จะศรัทธาบางอย่างและหมั่นตรวจสอบศรัทธาของตัวเองว่าดีต่อตัวเองและดีต่อผู้อื่นอันรวมถึงสังคมโดยรวมหรือไม่ เมื่อดีทั้งสองอย่างก็จงมุ่งมั่นที่จะทำด้วยความตั้งใจ และหากไม่ดีก็จงเปลี่ยนแปลงศรัทธาเสียใหม่ ซึ่งเราต้องเลือก ไม่เช่นนั้นเราจะกลายเป็นคนที่สับสนไม่มีแก่นสารและเป็นคนไร้รากในที่สุด เมื่อเป็นคนไม่มีแก่นสารก็จะถูกชักชวนไปในทางที่ไม่ดีได้ง่ายนั่นเอง
                         หากจะฝึกฝนตนเอง อาจเริ่มจากการตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราศรัทธาอะไรอยู่ เพราะคนเราเมื่อศรัทธาอะไรก็จะได้พบกับสิ่งนั้นเข้าถึงสิ่งนั้น ศรัทธาในเทคโนโลยีเราก็จะเข้าถึงเทคโนโลยี ศรัทธาต่อชาวบ้านเราก็จะเข้าถึงชาวบ้าน ศรัทธาต่อวัตถุก็จะเข้าถึงวัตถุ ศรัทธาต่อลาภยศสรรเสริญก็จะเข้าถึงลาภถึงยศเข้าถึงตำแหน่ง ศรัทธาต่อความรู้ก็จะเข้าถึงความรู้ หรือศรัทธาต่อหลักธรรมก็จะเข้าถึงธรรม หรือไม่ศรัทธาอะไรเลยก็ไม่เข้าถึงก็ไม่เข้าถึงอะไรเลย เพราะความศรัทธานำมาซึ่งมุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อทำทุกอย่างให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เราศรัทธานั่นเอง ขณะเดียวกันก็ลองตรวจสอบตัวเองดูว่าสิ่งที่เราศรัทธากับสิ่งที่องค์กรของเราศรัทธานั้นตรงกันหรือไม่ หากตรงกันก็เรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงตนหรือหากไม่ตรงกันก็เรียนรู้ที่จะให้โอกาสตัวเองไปสู่แห่งที่ที่เหมาะสมกว่า


2) วิริยะ คือ ความมุ่งมั่นทุ่มเท เป็นความมุ่งมั่นทุ่มเททั้งกายและใจ ที่จะเรียนรู้และทำให้เข้าถึงแก่นแท้ของสิ่งนั้นเรื่องนั้น ถ้าหากกระทำก็จะทำจนเชี่ยวชาญจนเป็นผู้รู้ ถ้าหากศึกษาก็จะศึกษาให้รู้จนถึงรากเหง้าของเรื่องราวนั้นๆ ดังนั้น คำว่า "วิริยะ" จึงหมายถึงความเพียรพยายามอย่างสูงที่จะทำตามฉันฑะหรือศรัทธาของตัวเอง หากเราไม่มีความเพียรแล้วก็อนุมานได้ว่าเรามีฉันทะหลอกๆ หรือศรัทธาหลอกๆ ทั้งโกหกตัวเองและหลอกผู้อื่น เพื่ออะไรนั้น ผลงานที่เขาทำจะชี้ชัดออกมาเองว่าทำเพื่ออะไร ดังนั้น นักวิจัยท้องถิ่น จึงต้องมีใจที่รักต่อคนท้องถิ่นและรักต่อการทำงานวิจัยเพื่อแก้ปัญหาคนท้องถิ่น อันเป็นศรัทธาสูงสุด หากไม่เป็นเช่นนั้น ก็ได้แต่เพียงศรัทธาปากเปล่าที่ไร้แม้เงาของความมุ่งมั่นและทุ่มเท หากแต่มีศรัทธาอื่นให้ครุ่นคิดและกระทำอยู่

                     วิริยะนี้มาคู่กับความอดทนอดกลั้น เป็นความรู้สึกไม่ย่อท้อต่อปัญหาและมีความหวังที่จะเอาชนะอุปสรรคทั้งปวง โดยมีศรัทธาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ นำใจ และเตือนใจ ความอดทนเป็นเครื่องมือสำหรับคนใจเย็นและใจงามด้วย ไม่ใช่มุทะลุดุดันรบเร้าและรุ่มร้อน เพราะมันจะทำให้มีโอกาสผิดพลาดได้ง่าย หรือสูญเสียความอดทนในที่สุด ดังนั้น ความวิริยะอุสาหะ จึงเป็นวิถีทางของบุคคลที่หาญกล้าและทายท้าต่ออุปสรรคใดๆทั้งมวล

                     ถามว่า "ความวิริยะมันเกิดจากอะไร" คำตอบก็คือ "เกิดจากศรัทธาหรือฉันทะนั่นเอง" และเป็นศรัทธาที่มั่นคงด้วยไม่ว่าจะมีอุปสรรค์ใดๆมากระทบก็ตามก็จะไม่เปลี่ยนแปลง แต่อาจปล่อยวางหรือวางเฉยในบางเวลาบางสถานการณ์บ้าง เพื่อรอสภาวะที่เหมาะสมกว่า ความวิริยะไม่ใช่ความดุดันอย่างเอาเป็นเอาตายหรือต้องให้ได้เสมอ แต่มันคือความแยบยลและเลือกที่จะทำบางอย่างเพื่อรักษาศรัทธาไว้หรือเพื่อรอวาระที่เหมาะสมอันหมายถึงการบรรลุผลแห่งศรัทธา

                       ถ้าจะฝึกฝนเรื่องความวิริยะแล้วคงต้องเริ่มจากความคิดที่ว่า ต้องหมั่นฝึกฝนตนเองบ่อยๆ หมั่นทำหมั่นคิดหมั่นเขียนหมั่นนำเสนอและอย่าขี้เกียจ อย่ากลัวความผิดพลาดและจงกล้าแสดงออกซึ่งความรับผิดชอบต่อความล้มเหลวของตัวเอง อย่าท้อต่องานหนักและงานมากให้คิดว่าทำมากรู้มากเก่งมากขึ้น อย่าบ่นว่าไม่มีเวลาเพราะเวลามีเท่าเดิม ฯลฯ


3) จิตตะ คือ ใจที่จดจ่อและรับผิดชอบ เมื่อมีใจที่จดจ่อแล้วก็จะเกิดความรอบคอบตาม คำนี้ยิ่งใหญ่มากปัจจุบัน สังคมซับซ้อน มีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่ละคนมีภาระหน้าที่ ที่ต้องทำมากมาย ไม่รู้จะทำอะไรก่อน เวลาอ่านหนังสือก็คิดถึงงานที่รับผิดชอบ เวลาอ่านทำงานก็คิดว่าต้องอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบ ไม่สามารถมีจิตจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นาน ผลคือ ทำอะไรก็ไม่ดีสักอย่างทำผิดๆถูกๆอยู่อย่างนั้น
                           แต่ถ้าเรามีใจที่จดจ่อต่อสิ่งที่เราคิดเราทำและรับผิดชอบแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเรียนหรือการงานก็ตาม ทุกอย่างก็จะดีขึ้นไปเอง เราก็จะมีความรอบรู้มากขึ้นเรื่อยๆด้วยใจที่จดจ่อตั้งมั่นและใฝ่เรียนรู้ของเรา เมื่อมีความรอบรู้มากขึ้นก็จะเกิดความรอบคอบตามมา เมื่อมีความรอบคอบแล้วการตัดสินใจทำอะไรก็จะเกิดความผิดพลาดน้อยตามไปด้วย

                ความรอบคอบจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่รอบรู้ ดังนั้น การที่คนจะรอบรู้ได้นั้น ต้องหมั่นศึกษาเรียนรู้อยู่เป็นเนื่องนิจ ติดตามข่าวสารบ้านเมืองสม่ำเสมอ ต้องอ่านหนังสืออย่าให้ขาดและหลากหลายโดยไม่ยึดติดกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ประการสำคัญต้องฝึกตั้งคำถามกับตัวเองกับเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นรอบตัวเราพร้อมกับค้นหาคำตอบให้ได้ การฝึกสนทนากับผู้รู้บ่อยๆก็เป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งเมื่อเราทำได้อย่างนี้แล้ว เราก็จะเป็นผู้ที่เข้าใกล้ความรอบรู้ไปโดยปริยาย

                เมื่อเราเข้าใกล้ความรอบรู้แล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะวิเคราะห์สังเคราะห์เนื้อแท้ของเรื่องราวนั้นๆ ออกมาสู่การตัดสินใจของหมู่คณะหรือแม้แต่เรื่องส่วนตัวของเราเอง ดังนั้น ความรอบคอบจึงแฝงไปด้วยความรอบรู้ตามสภาพจริงของมัน อันเป็นแนวปฏิบัติที่คนรุ่นใหม่ต้องสร้างให้เกิดเป็นนิสัยแก่ตนเอง
                ความรอบคอบนอกจากจะดำรงอยู่คู่กับความรอบรู้แล้ว ยังต้องอาศัยความดีงามเป็นเครื่องเตือนสติด้วย ถึงจะสามารถใช้จิตของเราพินิจพิจารณาและตรึกตรองในเนื้อแท้ของสิ่งต่างๆนั้นได้อย่างเหมาะสม เพราะความดีงามตามแบบอย่างของคุณธรรมตามหลักศาสนาและจริยธรรมของสังคมนั้นเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างปรกติสุข
          

4) วิมังสา คือ การทบทวนในสิ่งที่ได้คิดได้ทำมา อันเกิดจาก การมีใจรัก (ฉันทะ) แล้วทำด้วยความมุ่งมั่น (วิริยะ) อย่างใจจดใจจ่อและรับผิดชอบ (จิตตะ) โดยใช้วิจารณญาณอย่างรอบรู้และรอบคอบ จึงนำไปสู่การทบทวนตัวเอง และทบทวนองค์กรหรือทบทวนขบวนการ ทบทวนในสิ่งที่ได้คิดสิ่งได้ทำผ่านมาว่าเกิดผลดีผลเสียอย่างไร ทั้งที่เป็นเรื่องส่วนตัวของเราเองและเป็นเรื่องที่ร่วมคิดร่วมทำกับคนอื่น เพื่อปรับปรุงปรับแก้ไขให้ดียิ่งขึ้น

                   การทบทวนเรื่องราวจากภายในของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญมากในยุคปัจจุบันที่ผู้คนเริ่มสับสนวุ่นวายอย่างเข้มข้น ทบทวนความคิดเพื่อตรวจสอบความคิดและการกระทำของเราว่าเราคิดหรือทำจากความคิดอะไร? พร้อมกับถามตัวเองว่าเราคิดอย่างนั้นเพื่ออะไร? เราทำสิ่งนี้เพื่ออะไร? เพื่อความสุขของตัวเองหรือเพื่อความสงบสุขของสังคม? ฯลฯ ซึ่งจะทำให้เรารู้ว่าเราควรจะอยู่ ณ จุดไหนของสังคมหรือเปลี่ยนแปลงตนอย่างไรไปสู่การสร้างสรรค์ตนเองและสังคมที่งดงาม

ในการวิจัยและการพัฒนานั้นเรามักจะใช้คำว่า "สรุปบทเรียน" เป็นการสรุปผลการดำเนินงานที่ผ่านมาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อดูว่าสิ่งที่คิดและทำมานั้นมันดำเนินไปในแนวทางที่วาดหวังหรือไม่ หรือว่าคิดไว้อย่างทำอีกอย่าง หรือคิดไว้แต่ไม่ได้ทำเลย หรือทำไปแล้วแต่ไม่ได้อย่างที่มุ่งหวัง ทั้งนี้จะได้วิเคราะห์ต่อไปว่า ที่มันสำเร็จมันเป็นเพราะอะไร และที่มันล้มเหลวมันเกิดจากอะไร เพื่อที่จะได้หาแนวทางแก้ไขหรือหาทางหลีกเลี่ยงผลเสียที่อาจเกิดขึ้น

การสรุปบทเรียนนั้น คนส่วนใหญ่ยังเข้าใจว่า สรุปเมื่องานเดินทางมาได้ครึ่งทางหรือสิ้นสุดการทำงาน หรืออย่างดีที่สุดมีการทำแผนงานรายไตรมาส คือทุก 3 เดือน จึงสรุปบทเรียนครั้งหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วการสรุปบทเรียนควรจะทำให้อย่างสม่ำเสมอ อาจเป็นการพูดคุยกันหลังเสร็จสิ้นการทำกิจกรรมทุกครั้ง หรือหลังเลิกงานแต่ละวัน หรือใช้วิธีการแบบไม่เป็นทางการ เพื่อสรุปบทเรียนของแต่ละคนให้ได้มากที่สุด หรือพูดคุยกับตัวเองบ้าง การที่เราคุยกับตัวเอง ด้วยสติ ความรู้เนื้อ รู้ตัว จะทำให้เรามองตัวเองชัดเจนขึ้น รู้ว่าขณะนี้ปัญหาของเราคืออะไร และจะแก้ไขยังไง เพราะธรรมชาติของคนเรา สายตาเรามองทอดมองออกไปข้างนอก ทำให้ไม่เห็นตัวเองและสิ่งใกล้ตัว ถ้าจะมองตัวเองต้องส่องกระจก ...ดังนั้น เราต้องหมั่นถามตัวเองว่า เรารู้อะไรบ้างไม่รู้อะไรบ้าง เป้าหมายชีวิตเราคือ อะไร แล้วเราจะมีวิธีไปถึงจุดนั้นได้ยังไง คำถามที่ดีหนึ่งคำถาม ดีกว่าคำตอบร้อยคำตอบ ถ้าเราตั้งคำถามกับตัวเองบ่อยๆ จิต เราก็จะหาคำตอบให้เราได้ ไม่งั้นเราก็มีชีวิตอยู่แบบไม่มีจุดหมายปลายทาง มีแต่ความทุกข์ใจหาทางออกให้กับชีวิตไม่ได้ หรือ ถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วยเราก็คุยในใจ  สร้างเสียงในใจ (inner voice ) แต่ว่าวิธีที่ได้ผลคือ ปิดประตูห้องอยู่คนเดียวเงียบแล้วคุยกับตัวเองดังๆ หรือจะคุยกับหมากับแมวก็ได้ แต่ช่วงที่เหมาะสมที่สุดคือช่วงที่รู้สึกว่างและปลอดโปร่งจากเรื่องราวทั้งปวง ซึ่งควรทำให้เป็นนิจสิน


         ดังนั้น "อิทธิบาท 4" จึงมีความหมายกับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการจะเดินทางไปในสู่ความสำเร็จในชีวิตและการงาน เพราะหากทำได้ตามกระบวนความแล้ว สังคมความรู้ ชุมชนความรู้ และปัจเจกชนความรู้ คงอยู่ไม่ไกลเกินฝัน ประการสำคัญ "อิทธิบาท 4" ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยวจากหลักธรรมข้ออื่นๆอันเป็นองค์รวมและเชื่อมโยงถึงกัน เพียงแต่อธิบายคนละบทบาทเท่านั้น สิ่งสำคัญ เราได้ใคร่ครวญในเรื่องเหล่านี้มากน้อยเพียงใด เพราะ ในโลกปัจจุบัน โลกที่สั่งสม อวิชชามามากจนเกินล้น จึงกลายเป็นโลกที่ฉาบฉวยและวุ่นวายสูงสุด นั่นแปลว่าเราต้องฝึกฝนตนเองหลายเท่าตัวเพื่อจะเข้าใจและเข้าถึงหลักธรรมที่ก่อกำเกิดการพัฒนาที่จุดเริ่มต้นของตนเองอย่างแท้จริง
































วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ใบงานที่ 4 บทความหรือสารคดีที่เราสนใจ เรื่อง การทำบอลลูนหัวใจ




💝 การใส่สายสวนหลอดเลือดหัวใจ 💝
(การทำบอลลูน)




หลักการทำบอลลูนหัวใจ ภาค ภาษาอังกฤษ









💖การใส่สายสวนหลอดเลือดหัวใจ💖

Coronary angioplasty

                     การใส่สายสวนหลอดเลือดหัวใจ ( Coronary angioplasty) เป็นการช่วยไม่ให้หลอดเลือดอุดตัน ทำให้เลือดไหลได้สะดวกยิ่งขึ้น  หลอดเลือดหัวใจคือหลอดเลือดที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ เมื่อเวลาผ่านไปไขมันในหลอดเลือดเกาะตัวกันทำให้หลอดเลือดแคบลงซึ่งเรียกว่าหลอดเลือดตีบ ปริมาณเลือดและออกซิเจนที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจจึงลดลง อาจทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอกได้ (angina) การใส่สายสวนหลอดเลือดหัวใจเป็นการเปิดทางเส้นเลือดที่แคบให้เลือดไหลได้สะดวกมากขึ้นเพื่อที่จะนำเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้อย่างเพียงพอ ในระหว่างขั้นตอนการทำแพทย์จะใส่บอลลูนเล็กๆ และใส่ขดลวดเพื่อให้หลอดเลือดเปิด




☀ ทางเลือกอื่น ๆ ในการรักษาที่ไม่ต้องใส่สายสวนหลอดเลือดหัวใจ
หากมีอาการเจ็บหน้าอกเป็นประจำ เช่นเมื่อออกกำลังกาย ควบคุมอาการโดยการใช้ยาและการเปลี่ยนแปลงวิถีในการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยการออกกำลังกายแบบหลากหลายวิธี  หยุดสูบบุหรี่และลดน้ำหนัก   หากมีอาการเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรงและคาดเดาไม่ได้หรือมีอาการหัวใจวาย แพทย์จะแนะนำให้ผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ(Coronary artery bypass graft, CABG) หรือเมื่อหลอดเลือดมีจุดแคบหลายจุดมากเกินไป หรือเมื่อหลอดเลือดไม่เหมาะกับการใส่สายสวนขยายหลอดเลือดหัวใจ


☔ การเตรียมความพร้อมสำหรับการใส่สายสวนหลอดเลือดหัวใจ
งดสูบบุหรี่เพื่อลดความเสี่ยงของการปิดกั้นหลอดเลือดแดงและการที่ร่างกายกลับสู่สภาวะปกติได้ช้าลง หากเป็นการสวนหัวใจที่มีการวางแผนไว้ก็สามารถกลับบ้านในวันเดียวกันได้ แต่บางคนต้องพักค้างคืนในโรงพยาบาล 1 คืนก่อนกลับบ้าน การทำหัตถการชนิดนี้อาจจะทำภายใต้การให้ยาชาเฉพาะที่ซึ่งจะต้องฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณขาหนีบหรือแขน  ความรู้สึกในบริเวณนี้จะถูกบล็อกอย่างสมบูรณ์  ในช่วงระหว่างทำหัตถการจะรู้สึกตัว  นอกจากนี้อาจได้รับยากล่อมประสาทซึ่งจะช่วยให้ผ่อนคลาย  ไม่กินหรือดื่มอะไรประมาณสี่ชั่วโมงก่อนทำหัตถการ ให้หยุดใช้ยาบางอย่างเช่น warfarin 1-2 วันก่อนที่จะทำหัตถการ  พยาบาลจะตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิตและทดสอบปัสสาวะ โกนบริเวณขาหนีบบริเวณที่จะใส่เข็ม


☆ สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการใส่สายสวนหลอดเลือดหัวใจ

จะต้องทำในห้องห้องปฏิบัติการ catheterization ใช้เวลาประมาณ 30 นาที หรือมากว่านี้   ขึ้นอยู่กับจำนวนของหลอดเลือดแดงที่ต้องได้รับการรักษาอาจได้รับยา heparin ในระหว่างขั้นตอนการทำเพื่อช่วยหยุดการแข็งตัวของเลือด นอกจากนี้ยังอาจได้รับยาต้านเกล็ดเลือดเช่นแอสไพรินเพื่อช่วยให้เลือดไม่เหนียวเกินไปซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดในผนังหลอดเลือดแดง
แพทย์จะทำการเปิดเส้นเลือดบริเวณขาหนีบหรือข้อมือแล้วใส่ท่อยึดไว้ หลังจากนั้นจะใส่สายสวนเข้าไปในหลอดเลือดแดงที่นำไปสู่หัวใจ เมื่อสายสวนอยู่ในตำแหน่งที่ต้องการแพทย์จะทำการฉีดสีเพื่อ x-ray ดูตำแหน่งที่อุดตันของหลอดเลือด  แพทย์จะใช้ภาพ X-ray ในการนำทางลวดนำลงในสายสวน  เมื่อลวดนำผ่านพื้นที่แคบหรือถูกปิดกั้นก็จะใส่บอลลูนขนาดเล็ก (โดยปกติเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 2 ถึง  3 ซม.) ตามแนวลวดนำตลอดแนวพื้นที่ที่ตีบหรืออุดตัน  บอลลูนจะพองเบา ๆ เพื่อกดไขมันให้แบนลงลง ทำให้หลอดเลือดแดงกว้างขึ้นและช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ง่ายขึ้น

แพทย์อาจฉีดสีลงสายสวนเพื่อตรวจสอบว่าเส้นเลือดแดงได้เปิดขึ้นมากน้อยเพียงใด ถ้าเปิดพอแล้วก็จะปล่อยลมบอลลูนและนำบอลลูนพร้อมกับลวดนำและสายสวนออก  ขณะที่บอลลูนพองตัวในหลอดเลือดแดงอาจจะมีอาการเจ็บหน้าอก ซึ่งอาการนี้จะดีขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อบอลลูนถูกปล่อยลมแล้ว แพทย์อาจใส่ขดลวดที่มีลักษณะหลอดลวดตาข่ายขนาดเล็กมากเพื่อให้หลอดเลือดที่ถูกขยายแล้วเปิดอยู่ตลอดหลังบอลลูนถูกเอาออกไป  ขดลวดโลหะโดยปกติเป็นขดลวดโลหะเปล่า ในขณะที่บางอันมีการเคลือบยาและเรียกว่าขดลวดเคลือบยา  ยาจะถูกปล่อยออกช้า ๆ  ลงในหลอดเลือดแดงเพื่อป้องกันการอุดกั้นอีกครั้ง เมื่อขั้นตอนเสร็จสิ้นการแพทย์จะเอาสายสวนหลอดเลือดแดงออก  พยาบาลจะกดแน่นบนแผลประมาณ 20 นาทีเพื่อให้แน่ใจว่าหลอดเลือดแดงปิดและหยุดเลือดออกใด ๆ ปลั๊กคอลลาเจนหรืออุปกรณ์ที่คล้ายกันสามารถนำมาใช้ในการปิดผนึกหลุมในหลอดเลือดแดง


🌅 สิ่งที่คาดหวังหลังจากนั้น

หลังจากสวนหัวใจจะต้องพักผ่อนสักครู่  พยาบาลจะวัดความดันโลหิตและชีพจรอย่างสม่ำเสมอ และจะตรวจสอบบาดแผลเพื่อดูว่าเลือดยังไหลอยู่หรือไม่   หากดำเนินสวนหัวใจการผ่านขาหนีบจะต้องนอนหงายบนเตียงสองสามชั่วโมง หากดำเนินการผ่านข้อมือก็จะสามารถที่จะลุกนั่งได้ไม่นาน  จะต้องจัดให้มีคนพากลับบ้าน และควรพยายามที่จะมีคนอยู่ด้วยตลอดสำหรับ 24 ชั่วโมงแรก
หากได้รับยาระงับความรู้สึก  จะต้องไม่ขับรถ ไม่ดื่ม และลงนามในเอกสารทางกฎหมาย ภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากนั้น


✨ การพักฟื้น

หากปวด สามารถใช้ยาแก้ปวดพาราเซตามอล (acetaminophen) หรือ ibuprofen ได้  เมื่อกลับบ้านตรวจสอบบาดแผลอย่างสม่ำเสมอ อาจจะต้องมีช้ำบาง แต่ถ้าอาการบวมพัฒนาไปพบแพทย์ทันที ถ้าแผลจะเริ่มมีเลือดออก กดแผลให้แน่น   และติดต่อโรงพยาบาลทันที

การพักฟื้นมักจะใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ แตกต่างกันระหว่างบุคคล  ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
ไม่ควรยกของหนักสำหรับสัปดาห์แรกหลังจากสวนหัวใจ และไม่ขับรถอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์


🌍 ผลข้างเคียง  
อาจจะมีอาการเจ็บหน้าอกบาง ๆ หรือรู้สึกไม่สบาย แจ้งให้แพทย์หรือพยาบาลหากเกิดเหตุการณ์นี้  อาจจะมีอาการปวดหรือรอยช้ำที่ใส่สายสวน  


♑ ภาวะแทรกซ้อน    
เลือดออกจากแผล  เส้นเลือดที่รับการรักษาด้วยการใส่ขดลวดจะกลายเป็นแคบอีกครั้ง  แพ้สีย้อมที่ใช้ในระหว่างขั้นตอน หลอดเลือดหัวใจเส้นที่เพิ่งทำอาจจะกลายเป็นที่ถูกปิดกั้นอย่างสมบูรณ์ในระหว่างหรือหลังจาก ปลายของสายสวนอาจทำให้ก้อนเลือดหรือไขมันจากผนังของหลอดเลือดหลดซึ่งอาจปิดกั้นหลอดเลือดแดงนำไปสู่โรคหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมอง  เส้นเลือดได้รับการปฏิบัติสามารถฉีกขาดในระหว่างขั้นตอน










🌜บอลลูนหัวใจ หนึ่งทางเลือกในการรักษาโรคหัวใจที่อยากให้มาทำความรู้จักการทำบอลลูนหัวใจกันสักหน่อย🌛

          การรักษาโรคหัวใจด้วยการทำบอลลูนหัวใจยังคงมีข้อสงสัยในประเด็นนี้อยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นผลข้างเคียงจากการทำบอลลูนหัวใจ ค่าใช้จ่าย หรือบางคนก็สงสัยว่าการทำบอลลูนหัวใจจะอันตรายไหม งั้นวันนี้เรามาศึกษากันดีกว่าค่ะว่า การทำบอลลูนหัวใจ คืออะไร และเป็นยังไงกันแน่




บอลลูนหัวใจ คืออะไร   

          การทำบอลลูนหัวใจ (percutaneous transluminal coronary Angioplasty :PTCA) หรือในภาษาอังกฤษอีกชื่อหนึ่งว่า Balloon angioplasty คือ กรรมวิธีที่ใช้เครื่องมือชิ้นเล็กที่มีบอลลูนติดอยู่ตรงปลายท่อเล็ก ๆ สอดเข้าไปผ่านเส้นเลือดใหญ่ที่บริเวณแขนหรือขา ซึ่งจะใช้การเอกซเรย์เป็นตัวนำทางเพื่อสอดท่อบอลลูนเข้าไปถึงหลอดเลือดหัวใจที่ตีบแคบ และเมื่อหัวบอลลูนได้เข้าไปถึงจุดดังกล่าวแล้ว แพทย์จะทำการปล่อยลมให้บอลลูนพองตัวขึ้น ส่งผลให้เส้นเลือดที่ตีบแคบขยายตัวกว้างขึ้น และในขณะเดียวกัน แพทย์ก็จะสอดโลหะที่เป็นลวด (stent) วางไว้ในตำแหน่งเส้นเลือดที่ตีบแคบ เพื่อให้ตัวขดลวดกางออกทำหน้าที่เป็นโครงให้เส้นเลือดอยู่ในลักษณะขยายออกตลอดเวลา ซึ่งตัวขดลวดนี้จะอาบด้วยยา จึงสามารถลดอัตราการตีบตัวของเส้นเลือดได้อีกทางหนึ่ง


การทำบอลลูนหัวใจ เป็นวิธีรักษาโรคหัวใจชนิดไหนบ้างการทำบอลลูนหัวใจเป็นหนึ่งในทางเลือกรักษาโรคหัวใจได้ โดยจะใช้รักษาโรคหัวใจชนิดดังต่อไปนี้

          1. โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ 

          2. โรคลิ้นหัวใจตีบ

          3. กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด




ทำบอลลูนหัวใจ ค่าใช้จ่ายสูงไหม เบิกประกันสังคมได้หรือไม่
    
          ในกรณีที่เป็นผู้ประกันตนและใช้สิทธิประกันสังคม สามารถเบิกจ่ายค่าทำบอลลูนหัวใจได้ตามจริง โดยไม่เกิน 20,000 บาทต่อราย (ในกรณีรักษาโรคลิ้นหัวใจ โดยใช้สายบอลลูนผ่านทางผิวหนัง) และสำหรับการขยายหลอดเลือดหัวใจโดยการใช้บอลลูนอย่างเดียว สามารถเบิกค่าใช่จ่ายได้เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น แต่ไม่เกินครั้งละ 30,000 บาทต่อราย และสามารถใช้สิทธิ์ได้ไม่เกิน 2 ครั้ง
    
          ทว่าหากไม่มีสิทธิประกันสังคม การทำบอลลูนหัวใจจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 80,000-1,000,000 บาท ขึ้นอยู่กับแต่ละโรงพยาบาล รวมทั้งอุปกรณ์ในการรักษา (ขดลวดธรรมดาหรือขวดลวดเคลือบตัวยา)



บอลลูนหัวใจ บัตรทองใช้ได้หรือเปล่า
         
          สำหรับคนที่ถือบัตรทอง ก็สามารถเข้ารับการรักษาโดยการทำบอลลูนหัวใจได้เช่นกัน แต่ทั้งนี้ก็ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ตัวเองถือสิทธิ์ ซึ่งหากทางโรงพยาบาลมีความพร้อมในการรักษาก็สามารถทำบอลลูนหัวใจให้ได้ ทว่าหากทางโรงพยาบาลไม่มีความพร้อมก็อาจต้องทำเรื่องขอส่งตัวผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลอื่นที่สะดวกในการทำบอลลูนหัวใจต่อไป


บอลลูนหัวใจ อยู่ได้กี่ปี
    
          การทำบอลลูนหัวใจเพื่อขยายหลอดเลือดหัวใจในแต่ละครั้ง หากไม่ได้ใส่ขดลวด (stent) ในกรณีนี้เส้นเลือดอาจกลับไปตีบตันขึ้นได้ราว ๆ 30-40% ภายในระยะเวลา 6 เดือน แต่หากใส่ขดลวดเคลือบยาจะมีโอกาสหลอดเลือดกลับไปตีบตันประมาณ 10% แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังทำบอลลูนหัวใจของผู้ป่วยเองด้วย




การทำบอลลูนหัวใจ อันตรายไหม
    
          แม้การทำบอลลูนหัวใจจะเป็นทางเลือกของการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่ง่าย สะดวก เพราะไม่ต้องผ่าตัด และการทำบอลลูนหัวใจมีความเสี่ยงน้อยเพียง 1% แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยงของการทำบอลลูนหัวใจอยู่บ้าง โดยภาวะเสี่ยงของการทำบอลลูนหัวใจอาจมีดังต่อไปนี้
    
          - แพ้สารทึบแสงที่แพทย์ทำการฉีดเข้าเส้นเลือดก่อนทำบอลลูนหัวใจ
          - ผู้ป่วยเกิดภาวะเลือดออกและมีการอักเสบตรงบริเวณสอดสายบอลลูน
          - เส้นเลือดที่แขน ขา บริเวณที่สอดสายบอลลูนเกิดการอุดตัน
          - บางรายอาจเกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจหรือกล้ามเนื้อหัวใจทะลุในระหว่างทำการสอดใส่ท่อบอลลูนเข้าไปในเส้นเลือด


          อย่างไรก็ตาม การทำบอลลูนหัวใจภายใต้ความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ร่วมกับการปฏิบัติตัวตามที่แพทย์แนะนำ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าวได้พอสมควรนะคะ


บอลลูนหัวใจ ผลข้างเคียงมีไหม


          หากผู้ป่วยไม่มีอาการแทรกซ้อนดังกล่าว การทำบอลลูนหัวใจอาจไม่มีผลข้างเคียงที่น่ากังวลสักเท่าไร และการทำบอลลูนหัวใจยังใช้เวลาพักฟื้นเพียง 1-2 วัน และหากร่างกายหลังทำบอลลูนหัวใจไม่มีความผิดปกติที่น่าเป็นห่วง ผู้ป่วยก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้




การปฏิบัติตัวหลังทำบอลลูนหัวใจ

          1. ผู้ป่วยไม่ควรลุกจากเตียง และไม่งอแขนหรือขาด้านที่แทงเส้นเลือดเป็นเวลาอย่างน้อย 6 ชั่วโมง

          2. หากพบว่าบริเวณที่แทงเส้นเลือดบวม หรือขาข้างที่แทงเส้นเลือดซีดหรือเย็นกว่าปกติ ควรแจ้งให้พยาบาลทราบ

          3. ถ้าผู้ป่วยรู้สึกตัวดี ไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ให้รับประทานอาหารได้ตามความเหมาะสม

          4. ถ้าปวดแผล สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้

          5. ในระยะแรก การทำกิจวัตรประจำวันอาจทำไห้เหนื่อยได้ ดังนั้นควรพักผ่อนครั้งละ 20-30 นาที วันละ 2 ครั้งในเวลากลางวัน ไม่จำเป็นต้องนอนพักแค่นั่งพักก็เพียงพอ และพยายามนอนหลับให้ได้ 8-10 ชั่วโมงต่อวัน

          6. ควรหลีกเลี่ยงอาหารคอเลสเตอรอลสูง เช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล เป็นต้น

          7. ควรงดชา กาแฟ และน้ำอัดลม เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และควรงดสูบบุหรี่

          8. หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง เช่น ข้าวเหนียวทุเรียน ทองหยิบ ทองหยอด ทุเรียน ลำไย เป็นต้น

          9. ถ้าต้องใช้น้ำมันปรุงอาหารควรเลือกใช้น้ำมันพืชแทนเนยหรือน้ำมันจากสัตว์ หรือให้วิธีลวก ต้ม นึ่ง และอบแทนการทอด

          10. ควรรับประทานผักทุกชนิด และผลไม้ที่ไม่มีรสหวานจัด เช่น มะละกอ พุทรา แอปเปิล ฝรั่ง เป็นต้น

          11. ในระยะ 6 เดือนแรก เป็นช่วงสำคัญ ผู้ป่วยควรกินยาและปฏิบัติตัวตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด รวมทั้งไปพบหมอตามนัดอย่าให้ขาด 


การทำบอลลูนหัวใจกับการทำบายพาสต่างกันอย่างไร
    
          นอกจากการทำบอลลูนหัวใจแล้ว การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบสามารถรักษาได้ด้วยการทำบายพาส ซึ่งการทำบอลลูนหัวใจจะมีข้อดีตรงที่ทำง่ายกว่า ไม่ต้องผ่าตัด ค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการทำบายพาส ใช้เวลาพักฟื้นสั้นกว่า และมีผลข้างเคียงน้อยกว่า ทว่าการทำบอลลูนหัวใจอาจกลับมามีอาการซ้ำได้อีก
    
          ส่วนการทำบายพาสมีขั้นตอนยุ่งยากกว่า ค่ารักษาสูงกว่า พักฟื้นนานกว่า และผลข้างเคียงในการรักษามากกว่า แต่โอกาสกลับมาป่วยซ้ำก็น้อยกว่า




💕  คลิปหลักการทำบอลลูนหัวใจ  💕







ที่มา อ้างอิง และสามารถหาความรู้เพิ่มเติมได้ที่

👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇





















กิจกรรมที่ 4 เรื่อง ขั้นตอนของการทำโครงงานคอมพิวเตอร์

💛 กิจกรรมที่ 4 💛 เรื่อง ขั้นตอนของการทำโครงงานคอมพิวเตอร์ ขั้นตอนการทำโครงงานคอมพิวเตอร์ from chayanit kaewjankamol ...